การขายและการนำเข้าซ้ำซ่อน ผิดลิขสิทธิ ???
- Toys on Top
- Jul 1, 2016
- 2 min read
วันนี้เรามาไขคำถามและขอค่องใจของพ่อค้าแม่ค้าหลายๆ ท่านเกี่ยวกับลิขสิทธิสินค้า ที่อาจสร้างปัญหาหรือความเดือดร้อนเนื่องจากไม่ทราบขอเท็จจริงทางกฎหมายอย่างถูกต้อง เราจึงมีบทความดีๆ มาให้ทุกๆท่านได้อ่านทำความเข้าใจอย่างถูกต้องกันคะ
ขอขอบคุณ บทความประกอบจาก facebook เพจ:@boxxcatt ของคุณไกรสร (ทนายความ)
Referance: Facebook@boxxcatt (2012) หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๑๗/๒๕๔๓
https://www.facebook.com/boxxcatt/posts/454073951309960
หมายเหตุท้ายคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๑๗/๒๕๔๓
(1) ผู้ผลิตสินค้า (manufacturer) ที่ต้องการจะจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของตนในต่างประเทศ มักจะจำหน่ายสินค้าโดยผ่านระบบตัวแทนจำหน่าย (distributorship)ซึ่งตัวแทนจำหน่าย (distributor) มักจะเป็นบุคคลที่มีความคุ้นเคยกับตลาดในประเทศตัวแทนจำหน่ายจะสร้าง กู๊ดวิลล์และชื่อเสียงของสินค้าด้วยการโฆษณาประชาสัมพันธ์และจะสั่งซื้อ สินค้าจากผู้ผลิตเพื่อนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศในราคาที่ทำกำไรให้แก่ตน
การที่ตลาดของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน จึงทำให้สินค้าชนิดเดียวกันที่จำหน่ายโดยตัวแทนจำหน่ายในประเทศต่าง ๆ มีราคาที่แตกต่างกันไปด้วย และด้วยความแตกต่างของราคาสินค้าเช่นนี้ จึงทำให้บุคคลที่มองเห็นลู่ทางทำกำไร ซื้อสินค้าจากประเทศที่มีราคาถูกไปจำหน่ายในประเทศที่มีราคาแพง เพื่อหากำไรจากส่วนต่างของราคา
การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาขายแข่งกับตัวแทนจำหน่ายในลักษณะนี้เรียกว่า "การนำเข้าซ้อน"(parallelimport) โดยผู้นำเข้าซ้อนสามารถที่จะเสนอขายสินค้าชนิดเดียวกันในราคาที่ต่ำกว่า สินค้าที่จำหน่ายโดยตัวแทนจำหน่าย เนื่องจากผู้นำเข้าซ้อนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเพื่อสร้างกู๊ดวิลล์ ให้กับสินค้า
(2) การนำเข้าซ้อนเป็นธุรกรรมที่แพร่หลายมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา กลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ มีความเห็นเกี่ยวกับธุรกรรมนี้ในมุมมองที่แตกต่างกัน สำหรับตัวแทนจำหน่ายสินค้าในประเทศที่มีการนำเข้าซ้อน ธุรกรรมลักษณะนี้ได้ทำให้ตัวแทนจำหน่ายสูญเสียรายได้จำนวนมหาศาล
แต่สำหรับผู้บริโภค การนำเข้าซ้อนจะก่อให้เกิดการแข่งขัน ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลาย การนำเข้าซ้อนจะกดดันให้ตัวแทนจำหน่ายลดราคาสินค้าของตนลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน
(3) การที่การนำเข้าซ้อนมีผลกระทบต่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนจำหน่ายจึงต้องการหาวิธีการที่จะยับยั้งการนำเข้าซ้อน วิธีการหนึ่งที่นำมาใช้ก็คือ การบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา โดยอ้างว่าการนำเข้าซ้อนเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิในการนำเข้าของตน
ปัญหาคือ ตัวแทนจำหน่ายจะสามารถบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อห้ามการนำเข้า ซ้อนได้หรือไม่ ทั้งนี้เพราะสินค้านำเข้าซ้อนนั้นในความเป็นจริงก็คือสินค้าที่ผลิตโดยผู้ ผลิตรายเดียวกันกับสินค้าที่จำหน่ายโดยตัวแทนจำหน่ายหรือเป็นสินค้าที่ผลิต ด้วยการรู้เห็นยินยอมของผู้ผลิตนั่นเอง เช่น เป็นสินค้าที่ผลิตโดยบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิจากผู้ผลิต (licensee) เป็นต้น
มีหลักกฎหมายทั่วไปอยู่หลักหนึ่งเรียกว่า "หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทาง ปัญญา"(PrincipleofExhaustionofIntellectualPropertyRights)ซึ่งมีที่มาดั้ง เดิมจากคำพิพากษาของศาลแห่งประเทศสหพันธรัฐเยอรมนี ที่ตัดสินไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2445 สาระสำคัญของหลักการนี้คือเมื่อได้มีการวางจำหน่ายสินค้าภายใต้สิทธิใน ทรัพย์สินทางปัญญาใดโดยชอบแล้ว (1) สิทธิทางกฎหมายเหนือสินค้านั้นย่อมเป็นอันระงับสิ้นไป ผู้ทรงสิทธิจะบังคับสิทธิของตนเอากับผู้ใช้ประโยชน์จากสินค้านั้นมิได้ เช่น ผู้ซื้อสินค้าที่วางจำหน่ายโดยผู้ทรงสิทธิ ย่อมมีสิทธิที่จะแสวงหาประโยชน์จากสินค้านั้น ไม่ว่าจะด้วยการใช้ ขาย หรือจำหน่ายสินค้านั้นต่อไป
หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ได้ถูกนำมาใช้เพื่อประนีประนอมความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของบุคคลสองกลุ่ม อันได้แก่ ประโยชน์ของผู้ทรงสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในการปกป้องผลงานทางปัญญาของตน และประโยชน์ของผู้มีกรรมสิทธิ์ในสินค้าซึ่งได้รับสินค้านั้นมาโดยชอบหลักการ ระงับสิ้นไปของสิทธิเปิดโอกาสให้ผู้ทรงสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาแสวงหา ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์จากสิทธิของตนได้ในครั้งแรก และเมื่อผู้ทรงสิทธิได้รับประโยชน์ด้วยการจำหน่ายสินค้านั้นแล้ว สิทธิเหนือสินค้านั้นก็เป็นอันระงับไป หลักการนี้ตั้งอยู่บนปรัชญาความเชื่อที่ว่าผู้ซื้อสินค้าควรจะสามารถใช้ สิทธิในกรรมสิทธิ์ของตนได้โดยเสรีเช่นเดียวกับเจ้าของทรัพย์สินทั่วไป
(4) หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็นที่ยอมรับมากขึ้นใน ปัจจุบัน แต่ขอบเขตของการใช้หลักการนี้ก็แตกต่างกันไปในประเทศ ซึ่งอาจจำแนกขอบเขตของการใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ออกได้เป็น 3 ระดับคือ หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิภายในประเทศ (nationalexhaustion)หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับภูมิภาค (regionalexhausion) และหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับระหว่างประเทศ (internationalexhaustion)
เป็นที่ทราบกันว่า สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิทธิทางกฎหมายที่อาจใช้บังคับได้ในประเทศที่ มีสิทธิเท่านั้น ดังเป็นไปตามหลักดินแดน (TerritorialityPrinciple) สิทธิที่มีอยู่ในประเทศไม่อาจใช้บังคับการทำละเมิดที่ได้กระทำนอกราช อาณาจักร หรือสิทธิที่มีอยู่ในต่างประเทศจะไม่มีผลใช้บังคับในประเทศ เป็นต้น
ประเทศที่ใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิภายในประเทศ จะยึดถือหลักดินแดนอย่างเคร่งครัด โดยถือว่าเฉพาะแต่การจำหน่ายสินค้าโดยชอบภายในประเทศเท่านั้น ที่จะทำให้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเหนือสินค้านั้นระงับสิ้นไป
การที่ประเทศใดใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในระดับภูมิภาคและในระดับ ระหว่างประเทศแสดงว่าประเทศนั้นถือว่าหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิเป็นข้อยก เว้นที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับของหลักดินแดน การใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในลักษณะนี้ย่อมมีผลเท่ากับเป็นการอนุญาต ให้มีการนำเข้าซ้อน ผู้ทรงสิทธิไม่อาจบังคับใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อห้ามการนำสินค้า เข้ามาจำหน่ายในประเทศได้ หากสินค้านั้นเป็นสินค้าที่ตนเป็นผู้จำหน่าย หรือได้ยินยอมให้มีการจำหน่ายสินค้านั้นในต่างประเทศ
(5) ความตกลงทริปส์ซึ่งเป็นความตกลงในภาคผนวกของความตกลงจัดตั้งองค์การการค้า โลก มิได้กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สิน ทางปัญญา หรือที่เกี่ยวกับการนำเข้าซ้อนเอาไว้ ข้อ 6 ของความตกลงทริปส์เพียงแต่บัญญัติหลักการเป็นเชิงประนีประนอมว่า บทบัญญัติของความตกลงทริปส์จะไม่นำไปใช้บังคับกับปัญหาการระงับสิ้นไปของ สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งแปลความได้ว่า ความตกลงทริปส์อนุญาตให้ประเทศสมาชิกเลือกใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิได้ ตามที่เห็นสมควร
ด้วยเหตุนี้ การใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศต่าง ๆ จึงมีแนวทางที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความมุ่งหมายและนโยบายของแต่ละประเทศ เช่น สหภาพยุโรปใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับภูมิภาคโดยใช้เขตภูมิศาสตร์ ของประชาคมยุโรปเป็นเกณฑ์ ก็ด้วยมีวัตถุประสงค์ที่จะบรรลุความมุ่งหมายของการจัดตั้งตลาดร่วมทางการค้า หรือประเทศญี่ปุ่นใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับระหว่างประเทศ เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมการค้าเสรีและไม่ต้องการให้มีการใช้ สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในลักษณะที่เป็นอุปสรรคทางการค้าเป็นต้น
(6) มีปัญหาว่า การใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาระดับระหว่างประเทศจะ ขัดกับหลักความเป็นอิสระของสิทธิ (Independence ofRights) ตามข้อ 4bis ของอนุสัญญากรุงปารีสหรือไม่
หลักความเป็นอิสระของสิทธิ หมายความว่า สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่มีอยู่ในประเทศต่าง ๆ ย่อมมีความเป็นอิสระจากกัน ถึงแม้ว่าสิทธินั้นจะเป็นสิทธิที่มีอยู่เหนือผลงานทางปัญญาอันเดียวกันก็ตาม การที่สิทธิในประเทศหนึ่งได้ถูกยกเลิก แก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือระงับไปไม่ว่าด้วยเหตุใดจะไม่มีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของสิทธิที่มีอยู่ ในประเทศอื่น
การที่สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาได้ระงับสิ้นไป เนื่องจากมีการจำหน่ายสินค้านั้นในต่างประเทศ จึงน่าจะขัดกับหลักความเป็นอิสระของสิทธิ เพราะดูเหมือนว่าสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศได้ระงับสิ้นไปตามการ ระงับของสิทธิในต่างประเทศ
แต่ในความเป็นจริง การใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาระดับระหว่างประเทศ หาได้ขัดกับหลักความเป็นอิสระของสิทธิไม่ เพราะการที่สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาในสินค้านำเข้าซ้อนได้ระงับสิ้นไปนั้น หาได้เป็นเพราะว่าสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเดียวกันในต่างประเทศได้ระงับ สิ้นไปไม่ หากแต่เป็นเพราะว่าผู้ทรงสิทธิได้รับประโยชน์จากการใช้สิทธิในทรัพย์สินทาง ปัญญาของตนแล้ว ซึ่งการที่ผู้ทรงสิทธิได้รับประโยชน์จากสิทธิหรือไม่นั้น ถือเป็นข้อเท็จจริง (facts)ซึ่งหลักความเป็นอิสระของสิทธิไม่ได้ห้ามมิให้รับฟังข้อเท็จจริงที่ เกิดขึ้นในต่างประเทศ
(7) กฎหมายสิทธิบัตรของประเทศไทย ได้รับรองหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิระดับระหว่างประเทศ โดยบทบัญญัติมาตรา 36 วรรคสอง (7) ของพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2542 ดังนั้น การนำเข้าซ้อนจึงไม่เป็นการละเมิดสิทธิบัตร
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าฯ ฉบับปัจจุบัน หาได้มีบทบัญญัติที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับหลักการระงับสิ้นไปของสิทธิและการนำ เข้าซ้อนไม่ ซึ่งทำให้เป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัยว่า กฎหมายเครื่องหมายการค้าของไทยจะใช้หลักการนี้ไปในแนวทางใด โดยคำพิพากษาศาลฎีกาในอดีตได้ตัดสินไปในทำนองไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าซ้อน
ในอดีต ศาลฎีกามีคำพิพากษาไปในแนวทางว่า เมื่อมีการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยชอบ ผู้จดทะเบียนย่อมเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายการค้าของตน ซึ่งสิทธิเด็ดขาดดังกล่าวรวมถึงสิทธิในการนำเข้าสินค้าด้วย ดังนั้น การนำเข้าซ้อนสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนจึงเป็นการละเมิดสิทธิ ของเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น (คำพิพากษาศาลฎีกา 657/2499, คำพิพากษาศาลฎีกา 366/2500, คำพิพากษาศาลฎีกา882/2504, คำพิพากษาศาลฎีกา 1271-1273/2508, คำพิพากษาศาลฎีกา 1669-1672/2523 และคำพิพากษาศาลฎีกา 4603/2533)
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและศาลฎีกาได้แสดงเหตุผลไว้ อย่างสอดคล้องกัน โดยวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ผลิตสินค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้นำสินค้าของตนออก จำหน่ายเป็นครั้งแรกแล้ว ก็ถือว่าเจ้าของเครื่องหมายได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องหมายการค้านั้น จากสินค้าที่จำหน่ายไปเสร็จสิ้นแล้ว ผู้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าไม่อาจใช้สิทธิหวงกันไม่ให้ผู้ซื้อสินค้า ซึ่งประกอบการค้าตามปกตินำสินค้านั้นออกจำหน่ายต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกานี้จึงเป็นคำพิพากษาที่กลับแนวคำพิพากษาในอดีตโดยรับรองว่า การนำเข้าซ้อนเครื่องหมายการค้าเป็นธุรกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายหากสินค้านำเข้า นั้นเป็นสินค้าที่ผู้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าได้จำหน่าย หรือรู้เห็นยินยอมให้มีการจำหน่ายสินค้านั้น
(8) คำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและคำพิพากษา ศาลฎีกานี้ ตัดสินได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ กฎหมายสิทธิบัตรได้อนุญาตให้มีการนำเข้าซ้อน ก็โดยมีวัตถุ ประสงค์เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณชนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและการ ค้าเสรีแต่วัตถุประสงค์ดังกล่าวย่อมไม่อาจบรรลุได้หากกฎหมายเครื่องหมายการ ค้าจะไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าซ้อนด้วย
ถึงแม้ว่าการคุ้มครองสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าจะมีความมุ่งหมายที่แตก ต่างกัน แต่ในทางปฏิบัติ สิทธิทางกฎหมายสองประเภทนี้ก็มีความเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น ทั้งนี้เพราะโดยทั่วไปสินค้าภายใต้สิทธิบัตรมักจะถูกนำออกจำหน่ายโดยมี เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนติดอยู่ด้วยเสมอ หากกฎหมายทั้งสองลักษณะมีบทบัญญัติในเรื่องการนำเข้าซ้อนที่แตกต่างกัน หรือใช้หลักการระงับสิ้นไปของสิทธิอย่างไม่สอดคล้องกันแล้ว ก็จะทำให้เกิดผลประหลาดมาก เนื่องจากการนำเข้าซ้อนสินค้าภายใต้สิทธิบัตรจะเป็นสิ่งที่อาจกระทำได้ โดยไม่เป็นการละเมิดต่อกฎหมายสิทธิบัตร แต่การนำเข้าซ้อนสินค้าเดียวกันนั้นกลับเป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายเครื่อง หมายการค้า เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น
(9) ปัญหาที่ควรพิจารณาต่อไปคือ การอนุญาตการนำเข้าซ้อนจะไม่สอดคล้องต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายเครื่องหมายการ ค้าหรือไม่
เจตนารมณ์ของกฎหมายเครื่องหมายการค้านั้นมีอยู่ 2 ประการสำคัญ
ประการแรก เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าของเครื่องหมายการค้า ผู้ซึ่งได้ลงทุนและเสียเวลาไปกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์นั้นต่อสาธารณชน
ประการที่สอง เพื่อปกป้องสาธารณชนและผู้บริโภค โดยทำให้มั่นใจว่า ในการซื้อสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า ผู้ซื้อจะได้รับสินค้าในราคาและคุณภาพตามที่ตนคาดหมาย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กฎหมายเครื่องหมายการค้าทำหน้าที่ปกป้องสิทธิของบุคคลสองกลุ่ม ได้แก่ สิทธิของสาธารณชนในอันที่จะไม่สับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้า และสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าในอันที่จะรักษาชื่อเสียงทางการค้าของ ตน
(10) ตามเจตนารมณ์ประการแรก การนำเข้าซ้อนอาจก่อความเสียหายแก่ตัวแทนจำหน่ายซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมาย การค้า ผู้ซึ่งได้ลงทุนในการโฆษณาเพื่อสร้างชื่อเสียงและกู๊ดวิลล์ของสินค้าใน ประเทศนำเข้า ซึ่งการสร้างชื่อเสียงและกู๊ดวิลล์ของสินค้าหาได้เป็นสิ่งที่อาจกระทำได้โดย ง่ายไม่ ผู้นำเข้าซ้อนมิได้มีส่วนร่วมสร้างสรรค์สิ่งใดเลย หากเพียงแต่ฉกฉวยเอาชื่อเสียงและกู๊ดวิลล์ที่ตัวแทนจำหน่ายสินค้าได้สร้าง ขึ้นไปเป็นประโยชน์แก่ตนเท่านั้น
แต่ประเด็นที่ควรพิจารณาก็คือ ชื่อเสียงและกู๊ดวิลล์ของสินค้านั้นเกิดขึ้นจากสิ่งใดกันแน่ เกิดจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ของตัวแทนจำหน่าย หรือเกิดจากคุณภาพของสินค้าที่ผู้ผลิตสินค้าได้ทำให้เกิดมีขึ้น ในความเป็นจริง ความนิยมของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าน่าจะมาจากคุณภาพของสินค้าและความเชื่อ ถือต่อผู้ผลิต มากกว่าที่จะเกิดจากการโฆษณาสินค้า
หากเป็นดังเช่นที่กล่าว การนำเข้าซ้อนก็หาใช่การกระทำที่เป็นการฉกฉวยกู๊ดวิลล์หรือชื่อเสียงทางการ ค้าของบุคคลอื่นไม่ เพราะสินค้าที่มีการนำเข้าซ้อนนั้นเป็นสินค้าที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายเดียวกัน หรือด้วยความยินยอมของผู้ผลิตรายเดียวกันนั่นเองและด้วยเหตุที่สินค้าได้ ผลิตขึ้นโดยผู้ผลิตรายเดียวกันนี้ จึงทำให้ประโยชน์สุดท้ายของการจำหน่ายสินค้าตกได้แก่ผู้ผลิตสินค้าเสมอ ไม่ว่าการจำหน่ายสินค้านั้นจะกระทำโดยตัวแทนจำหน่ายหรือผู้นำเข้าซ้อน
(11) ตามเจตนารมณ์ประการที่สอง มีปัญหาว่าการนำเข้าซ้อนอาจทำให้ประชาชนสับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดที่แท้จริง ของสินค้าหรือไม่
ในปัญหานี้ ต้องจำแนกการนำเข้าซ้อนออกเป็น 2 ลักษณะ
ลักษณะแรก เป็นการนำเข้าซ้อนสินค้าที่มาจากเจ้าของเครื่องหมายการค้าเองซึ่งมักจะเกิด ขึ้นในกรณีที่เจ้าของเครื่องหมายการค้าเป็นผู้จำหน่ายสินค้าในประเทศต่าง ๆ ด้วยตนเอง หรือตั้งตัวแทนจำหน่ายสินค้า โดยเจ้าของเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในนามของตนเอง ในกรณีนี้ ผู้ผลิตสินค้ากับเจ้าของเครื่องหมายการค้าจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน
ลักษณะที่สอง เป็นกรณีที่สินค้านำเข้าซ้อนมีที่มาจากบุคคลอื่นที่มีความสัมพันธ์ในเชิง เศรษฐกิจกับเจ้าของเครื่องหมายการค้า
ในกรณีนี้ เจ้าของเครื่องหมายการค้ามิได้เป็นผู้ผลิตสินค้านำเข้าซ้อน เนื่องจากเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศนำเข้ามีฐานะเป็นตัวแทนจำหน่าย สินค้าเครื่องหมายการค้าจะถูกจดทะเบียนในประเทศนำเข้าในนามของตัวแทนจำหน่าย ซึ่งเป็นบุคคล (หรือนิติบุคคล) ที่เป็นอิสระแยกต่างหากจากผู้ผลิตสินค้า โดยตัวแทนจำหน่ายได้รับโอนสิทธิในเครื่องหมายการค้ามาจากผู้ผลิตสินค้าอีกที หนึ่ง
(12) ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่บันทึกนี้ ศาลฎีกาได้แสดงเหตุผลไว้อย่างชัดเจนว่า การใช้เครื่องหมายการค้ามีวัตถุประสงค์เพื่อจำแนกความแตกต่างของสินค้าของ เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้าของผู้อื่น และทำให้ประชาชนใช้เครื่องหมายการค้านั้นเป็นเครื่องพิจารณาเลือกซื้อสินค้า ได้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของตน
โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ผลิตสินค้าปัตตะเลี่ยนที่จำเลยนำเข้าซ้อนมาจากประเทศสิงคโปร์และเป็น ผู้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย ส่วนโจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ามิได้มีฐานะเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น จำเลยได้ซื้อสินค้าจากผู้ขายสินค้าที่ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ซึ่งเป็นตัว แทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ที่ 1 เช่นเดียวกัน ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นกรณีที่สินค้านำเข้าซ้อนมีที่มาจากเจ้าของเครื่องหมายการค้า อันเป็นการนำเข้าซ้อนในลักษณะแรกนั่นเอง
เมื่อสินค้านำเข้าซ้อนมีที่มาจากเจ้าของเครื่องหมายการค้า (ซึ่งในกรณีนี้คือโจทก์ที่ 1) เครื่องหมายการค้านั้นย่อมทำหน้าที่บ่งระบุแหล่งกำเนิดของสินค้าได้อย่างถูก ต้องสินค้านำเข้าซ้อนจึงเป็นสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดที่แท้จริงตามที่เครื่อง หมายการค้านั้นได้แสดงไว้ทุกประการ
ด้วยเหตุนี้ เหตุผลของศาลฎีกาที่ว่า เมื่อเครื่องหมายการค้าคำว่า "WAHL" ที่ใช้ติดอยู่ที่สินค้า ยังคงเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงแหล่งกำเนิดและความเป็นเจ้าของสินค้าของ โจทก์ที่ 1 ตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายเครื่องหมายการค้า โจทก์ที่ 1 จึงไม่มีสิทธิหวงกันห้ามปรามการนำเข้าซ้อนสินค้าดังกล่าว จึงเป็นเหตุผลที่ชอบแล้ว
(13) มีผู้ให้ความเห็นในทำนองว่า หากเป็นการนำเข้าซ้อนในลักษณะที่สองที่ผู้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้ามิได้ เป็นผู้ผลิตสินค้า ก็ไม่อาจถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าที่ติดอยู่ที่สินค้านำเข้าซ้อนได้แสดง แหล่งกำเนิดที่แท้จริงของสินค้า การนำเข้าซ้อนจึงเป็นการละเมิดสิทธิของเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศนำ เข้า
ปัญหานี้ไม่อาจวิเคราะห์อย่างผิวเผินแต่เพียงว่า ผู้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศที่มีการนำเข้าซ้อนกับผู้ ผลิตสินค้าในต่างประเทศเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ เพราะการจะดูว่าเครื่องหมายการค้าได้ทำหน้าที่ในการบอกแหล่งกำเนิดของสินค้า หรือไม่นั้น มิอาจกระทำได้แต่เพียงการพิจารณาถึงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเท่านั้น หากแต่จะต้องคำนึงถึงลักษณะของสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าเท่านั้น รวมทั้งพิจารณาถึงผู้ที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงของเครื่องหมายการค้านั้นด้วย ซึ่งปัจจัยสำคัญก็คือ จะต้องคำนึงถึงความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับสินค้าและเครื่องหมายการค้า นั้นเป็นสำคัญ โดยดูว่าประชาชนผู้บริโภคเข้าใจว่าใครเป็นผู้ผลิตสินค้า และบุคคลใดคือเจ้าของที่แท้จริงของเครื่องหมายการค้านั้น
ตัวอย่างเช่น บริษัท ก. บริษัทจดทะเบียนในต่างประเทศเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า X บริษัท ก. มิได้เข้ามาจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย หากแต่โอนสิทธิในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า X ในประเทศไทยให้แก่บริษัทข. เช่นนี้ ถึงแม้ว่าโดยทางนิตินัย บริษัท ข. จะเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นในประเทศไทยก็ตาม แต่การจะดูว่าผู้บริโภคในประเทศไทยสับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้าหรือ ไม่ ก็ต้องดูว่าผู้บริโภคเข้าใจว่าสินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้า X มีแหล่งกำเนิดจากที่ใด และใครเป็นผู้ผลิตสินค้าดังกล่าว
หากผู้บริโภคในประเทศไทยเข้าใจว่า สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าคือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยบริษัท ก. ซึ่งเป็นผู้ผลิตในต่างประเทศ เช่นนี้การนำเข้าซ้อนสินค้าที่บริษัท ก. ได้จำหน่ายในต่างประเทศย่อมเป็นการกระทำโดยชอบและไม่ถือว่าทำให้ประชาชน สับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้า ถึงแม้ว่าสินค้านำเข้าซ้อนจะมีเครื่องหมายการค้า X ติดอยู่ และแม้ว่าสินค้านั้นจะเป็นสินค้าที่ผลิตโดยบริษัท ก. ซึ่งมิได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศไทยก็ตาม กรณีไม่ควรถือว่าผู้บริโภคได้เกิดความสับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้า เพียงเพราะว่าสินค้านั้นมิได้ผลิตโดยบริษัท ข. ซึ่งเป็นผู้จดทะเบียนเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าในประเทศไทย
กรณีจะไม่เป็นปัญหามากนัก หากเครื่องหมายการค้านั้นเป็นเครื่องหมายร่วมของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ (collectivemarks) เพราะเมื่อเครื่องหมายการค้าที่ใช้เป็นเครื่องหมายร่วมของกลุ่มบริษัท แล้วสาธารณชนก็จะไม่เข้าใจว่าเครื่องหมายการค้านั้นเป็นของบริษัทใดบริษัท หนึ่ง หากแต่เป็นสินค้าที่มาจากบริษัทที่เป็นสมาชิกของกลุ่มบริษัทนั้น การนำเข้าซ้อนสินค้าที่ผลิตและจำหน่ายโดยบริษัทในกลุ่มในต่างประเทศจึงไม่ทำ ให้ประชาชนสับสนหลงผิดในแหล่งกำเนิดของสินค้า
(14) มีข้อควรพิจารณาต่อไปว่า การนำเข้าซ้อนควรได้รับอนุญาตหรือไม่หากปรากฏว่าสินค้านำเข้าซ้อนมีคุณภาพ แตกต่างไปจากสินค้าที่จำหน่ายในประเทศเพราะอาจจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของ กฎหมายในการให้ผู้บริโภคทราบถึงแหล่งกำเนิดและคุณภาพของสินค้า
การที่สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าเดียวกันที่จำหน่ายในประเทศต่าง ๆ จะมีคุณภาพแตกต่างกันนั้น ถือเป็นเรื่องปกติและพบเห็นได้เสมอ สินค้าที่ผลิตโดยผู้ผลิตรายเดียวกันอาจมีคุณภาพแตกต่างกันได้ ทั้งนี้เพราะผู้ประกอบธุรกิจข้ามชาติจำเป็นต้องปรับแต่งคุณภาพสินค้าของตน ให้สอดคล้องกับสภาพตลาด ความต้องการและรสนิยมของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ
แต่การกล่าวว่าเครื่องหมายการค้าทำหน้าที่บ่งบอกคุณภาพของสินค้านั้นดู เหมือนจะเป็นการตีความหน้าที่ของเครื่องหมายการค้าเกินเลยไปจากหลักการของ กฎหมาย ทั้งนี้เนื่องจากเครื่องหมายการค้าเพียงแต่ทำหน้าที่บ่งระบุแหล่งกำเนิดของ สินค้าเท่านั้น ส่วนการที่สินค้าที่มีแหล่งกำเนิดดังกล่าวจะมีคุณภาพเป็นเช่นไรนั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องคาดหวังเอาเอง ดังนั้น จึงเป็นการไม่สมควรที่จะห้ามการนำเข้าซ้อนด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าสินค้าที่ มีการนำเข้าซ้อน มีคุณภาพที่แตกต่างไปจากคุณภาพของสินค้าที่จำหน่ายอยู่ในประเทศ
หากผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายสินค้า ไม่ต้องการให้ผู้บริโภคสับสนในคุณภาพของสินค้าของตน ผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายสินค้าก็ควรจะหาทางทำให้สินค้าที่จำหน่ายในประเทศ ต่าง ๆ มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกัน หรือมิเช่นนั้นก็ควรจะบ่งระบุไว้ในสินค้าว่า สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้านั้นมีคุณภาพเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงในคดีนี้ไม่ปรากฏว่าสินค้านำเข้าซ้อนมีคุณภาพแตกต่างไปจากสินค้า ที่จำหน่ายในประเทศหรือไม่ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและศาลฎีกาจึงมิได้มีคำ วินิจฉัยในปัญหานี้
(15) คำพิพากษาฎีกานี้ได้แสดงว่า ประเทศไทยจะไม่เปิดโอกาสให้เจ้าของเครื่องหมายการค้าใช้สิทธิของตนเพื่อ ยับยั้งการนำเข้าซ้อน ซึ่งประโยชน์ที่คาดเห็นได้ก็คือสิทธิในเครื่องหมายการค้าจะไม่ถูกนำไปใช้ เป็นเครื่องมือรักษาระบบการจัดจำหน่ายสินค้าของผู้ประกอบธุรกิจข้ามชาติ เจ้าของเครื่องหมายการค้าจะไม่สามารถใช้นโยบายด้านราคาได้ตามที่ตนต้องการ เนื่องจากอาจต้องเผชิญกับการแข่งขันจากการนำเข้าซ้อนเชื่อได้ว่า คำพิพากษาฎีกานี้จะส่งผลให้สินค้าในประเทศไทยมีราคาที่ไม่สูงเกินสมควรเมื่อ เปรียบเทียบกับราคาของสินค้าชนิดเดียวกันที่จำหน่ายอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน
จักรกฤษณ์ ควรพจน์
コメント